วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

【歌ってみた】ハロ/ハワユ【鹿乃】How are you




English Translation Song Meaning;


Hello!
I opened my window and whispered.
How are you?
Alone in my room, with no one.
Morning!
The morning has arrived, with a heavy downpour.
Tick-tack.
Someone please rewind my spring for me.
Hello!
I think that kind of person appeared only in old anime.
How are you?
I am so jealous, that someone can be loved by all.
Sleeping...
I must stop saying silly things and start preparing.
Crying...
In order to hide my tear marks.
"Oh well whatever" has become my favorite phrase.
That line from yesterday went straight over my head:
"I don't have any expectations of you anymore."
Well, even I myself
don't have any expectations of myself,
but still, what was THAT for?!
The words that escaped from my throat
were nothing but lies.
Today, too, I have wasted some valuable words,
as I continue living my life.
Why is it that you end up hiding it?
Is it that you're scared of being laughed at?
Is it that you don't want to meet anyone?
Is that really true?
Drowning in a sea of the name "ambiguity",
I'm suffering because I can no longer breathe.
I now have a small urge to listen to someone's voice.
I am so weak.
With my preparation going nowhere at all,
I start thinking with my hazy head:
"Should I just find a reason so that I can rest now?"
Nah, I know, I know,
I'm just saying things, that's all,
but I'm not going to rest, so don't get angry at me.
Be I happy or miserable,
the morning sun will rise fairly and cruelly.
I'm already trying my best just to live,
what else do you possibly expect of me?
Why do you end up being bothered by this?
Is it that you actually want to be loved?
Who was it that let go of your hand?
Have you come to a realization?
If my life has a time card,
then exactly when do I get off my "work"?
Who will pay me my salary
for having been living all this time?
Thank you!
I actually want to say "thank you".
Thank you!
I actually want to say "thank you".
Thank you!
Even if just for once,
while I lament from the bottom of my heart,
I actually want to say "thank you".
Why is it that you end up hiding it?
Is that you actually want me to ask you about it?
I promise that I will not laugh,
so why don't you trying tell me?
I won't know anything if you don't open your mouth.
You won't convey anything by merely thinking in your head.
What a troublesome species of organism,
the one called "human", that is.
Hello! How are you?
To you, I say "Hello! How are you?"

Borrow Your Love ตอนที่ 5 ซับไทย


วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขจัดรอยหมองคล้ำรอบดวงตา

ใคร ๆ ก็อยากมีดวงตาที่ชุ่มชื้นและใสเป็นประกาย แต่ถ้าคืนไหนคุณสาวๆ นอนดึก จากการทำงานหรือดูละครเรื่องโปรดแม้กระทั่งคุณแม่ยังสาวที่เจอมรสุมเจ้าตัวเล็กโยเยจนแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน ตื่นเช้ามาเป็นหมีแพนด้า ขอบตาคล้ำ บวม  ยี้.....แต่ไม่ต้องกังวล...เรามีวิธีให้คุณดูแลผิวรอบดวงตา ให้คุณมีตาสวยใสด้วยธรรมชาติได้แบบง่ายใช้เวลาเพียงแค่ 10-20 นาที ทราบแล้วอย่าลืมกลับไปทดลองทำกันนะคะ
 
 

 1. มันฝรั่ง หามันฝรั่งหัวขนาดเหมาะมือ จัดการล้างให้สะอาดก่อนหั่นบางๆ แช่เย็นแล้วเอามาปิดตาไว้ 15-20 นาที เช้าและเย็น จะช่วยลดริ้วรอยหมองคล้ำรอบดวงตาได้ หลังเอามันฝรั่งออก ล้างหน้าให้เรียบร้อยแล้วอย่าลืมทาครีมบำรุงใต้ตาด้วยนะจ๊ะ
 
 

 2. น้ำแข็ง ใช้น้ำแข็งบดสักเล็กน้อยห่อด้วยผ้า วางบนเปลือกตาประมาณ 10 นาที ช่วยให้ขอบตาหายร้อนผ่าว ชุ่มชื่น ดูดี และหายคล้ำค่ะ
 
 

3.น้ำนม นมสดที่เราใช้ดื่มนี่แหละค่ะสักครึ่งแก้วเอาไปแช่เย็น แล้วใช้ก้อนสำลีหรือแผ่นสำลีชุบนมเย็นๆ วางบนเปลือกตา 10 นาที แล้วเอาออกพัก 2 นาที แล้วทำซ้ำใหม่ประมาณ 5 ครั้ง จะทำให้สบายตา ยิ่งตาที่ระคายเคืองหรือบวมจากการร้องไห้ วิธีนี้ช่วยได้แน่นอน
 
 

 4. แตงกวาปั่น นอกจากแตงกวาหั่นบางๆ แช่เย็นที่รู้กันทั่วไป แตงกวายังเอามาปั่นแช่ให้เย็นเจี๊ยบ ก่อนใช้สำลีชุบน้ำแตงกวาให้ชุ่มมาปิดตาไว้ 15-20 นาที วิธีนี้ช่วยลดริ้วรอยและเจ้าอาการตาบวมได้ด้วยเหมือนกัน
 
 

 5. มะเขือเทศ แก้เหตุตาบวมได้ดีนักแล เพียงเดินเข้าครัวควานหามะเขือเทศมาหั่นขวางแล้วปิดไว้ที่บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาทีตาจะหายบวมเป็นปลิดทิ้ง
 
 

 6. ออกกำลังกาย เพียงแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ สัก 10 นาที พอได้เหงื่อ รูขุมขนก็จะเปิดและขับของเสียออกจากเซลล์ ช่วยลดอาการตาบวมจ้า
 
 

 7. ผ้าขนหนูจุ่มน้ำชา เป็นอีกทางเลือกนอกจากใช้ถุงชาวางไว้บนตาเพื่อลดอาการตาบวม ลองใช้น้ำชาอุ่น ๆ แล้วนำผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มน้ำชา วางประคบดวงตาทั้งสองข้างประมาณ 10-15 นาที ก็ช่วยได้ไม่แพ้ถุงชาค่ะ
  
8. หมอน หนุนหมอนขนาดพอเหมาะที่สามารถยกให้ศีรษะสูงขึ้นเหนือระดับของหัวใจเล็กน้อย และนอนหงายเพื่อช่วยป้องกันของเหลวที่ไหลมารวมกันอยู่บริเวณดวงตา นอกจากลดตาบวมแล้ว วิธีนี้ยังช่วยขับน้ำเหลือง และยังมีผลต่อการขจัดของเหลวออกจากร่างกาย ทำให้ไม่เกิดการสะสมไว้ใต้ผิวหนังอีกด้วย

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไมเวลาเราวิ่งหรือออกกำลังกายจึงรู้สึกคันยิบๆที่ผิวหนัง

   คือเมื่อวาน อิชั้นฟิต ไปวิ่งมา วิ่งไปได้สักพักคันพุงคันหลังและหน้าขา รู้สึกสงสัยมาก จึงไปสืบไปค้นมา ฮ่าๆๆๆ เลยก็อบเก็บไว้อ่านเป็นสมบัติส่วนตัวสะเลย โย่วว

 

สาเหตุของอาการคันยิบๆ บริเวณผิวหนัง ตอนออกกำลังกาย


 ขอบคุณฮงจงฮยอนนะคะที่มาเป็นนายแบบให้ จุ้ฟฟ


หลังจากที่หาข้อมูลมาพอสมควร กับปัญหาที่หลายคนมีอาการคันยิบๆ ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ออกกำลังกาย เลยอยากจะอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงและสรุปคร่าวๆ ว่าอาการนี้เกิดจาก “กรดแลกติก” ที่กล้ามเนื้อสร้างขึ้นมาค่ะ
กรดแลกติกเกิดจากเซลล์กล้ามเนื้อเผาผลาญกลูโคสเป็นพลังงานโดยไม่ใช้ออกซิเจน เนื่องจากในการออกกำลังกายมีการใช้แรงอย่างกระทันหัน ต้องใช้พลังงานมาก การเผาผลาญโดยใช้ออกซิเจนแบบปกติให้พลังงานไม่เพียงพอ
กรดแลกติกที่สะสมทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้า แต่กรดแลกติกจะค่อยๆ สลายไปเมื่อหยุดใช้กล้ามเนื้อและได้รับออกซิเจนเพียงพอ และในคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย เซลล์กล้ามเนื้อจะค่อนข้างไวต่อกรดแลกติกมากกว่าคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่เพียงแต่กรดแลกติกจึงทำให้ระคายเคืองเกิดเป็นความรู้สึกคันยิบๆ จากข้างใน นอกจากนี้เซลล์กล้ามเนื้อคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายยังกำจัดกรดแลกติกได้ช้ากว่า จึงทำให้เมื่อนานๆ ทีออกกำลังกายร่างกายจึงปวดเมื่อยไปหลายวัน
 
 
 
เพราะในขณะที่เราออกกำลังกาย อย่าง วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ จะถือว่าเป็นการใช้พลังงานแบบแอโรบิคเป็นส่วนใหญ่จะมีการใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงาน รวมถึงไปเผาผลาญของเสียอย่างกรดแลคติก เผากันไปเรื่อยๆ จนได้ คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
คาร์บอนไดออกไซด์จะถูกขับออกทางลมหายใจ ส่วนน้ำเก็บไว้ใช้ต่อไป ตอนนี้กรดแลคติคยังไม่แผลงฤทธิ์ เพราะมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย นั่นคือออกซิเจน แต่ยามใดที่คนดีท้อแท้ คนชั่วย่อมมาครองเมือง
เมื่อเราออกกำลังกายไปเรื่อยๆ หนักขึ้น หนักขึ้น นานเข้า นานเข้า ออกซิเจนพระเอกของเราไม่เพียงพอ การเผาผลาญพลังงานจะกลายเป็นแบบ  Anaerobic  คือ ไม่ใช่ออกซิเจน เซลล์กล้ามเนื้อจะรับพลังงานมาจากไกลโครเจน แทนที่จะเป็นกลูโคสในเลือด เรียกว่า กระบวนการ Glycolysis ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไกลโครเจนมีการสลายตัวเป็นชั้นๆ จาก ไกลโครเจนจะกลายเป็น น้ำตาลกลูโคสและฟรุตโตส จนได้เป็นกรด ไพรูวิก 2 โมเลกุลในที่สุด และเมื่อเราออกกำลังกายไปเรื่อยๆ กรดไพรูวิกก็จะกลายเป็นกรดแลคติก นั่นเอง
เมื่อออกกำลังกายหนักขึ้น กรดแลคติกก็เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเราจะรู้สึกปวดบริเวณกล้ามเนื้อ มันเป็นสัญญาณจากร่างกายเราบอกว่าพอได้แล้ว ไปพักผ่อนหน่อยเถอะ พอถึงตอนนี้ ทางออกเดียวที่ควรทำ คือ หยุดออกกำลังเสีย แต่หากไม่ยอมหยุด อาจจะเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า การชนกำแพง ซึ่งเป็นอาการที่วิ่งไม่ออก หมดเรี่ยวแรง ถ้าให้เตะปี๊ปตอนนั้น คงไม่ดัง เหตุที่เกิดเพราะวิ่งจนกล้ามเนื้อใช้ไกลโครเจนหมดไป จนไปเผาผลาญกล้ามเนื้อเอง ถึงตรงนี้ต้องพักยาวแน่
ที่นี้เราก็สามารถชะลอฤทธิ์ของกรดแลคติคได้ โดยการฝึกสม่ำเสมอ ทำให้ร่างกายสะสมไกลโครเจนมากขึ้น จะสังเกตว่า พวกที่วิ่งสม่ำเสมอจะเมื่อยช้ากว่าพวกที่พึ่งออกกำลังกายเห็นๆ สืบเนื่องจากการสะสมไกลโครเจนนี้เอง
นอกจากนี้ การ cool down ก่อนจะที่จะหยุดการออกกำลังกายนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการลดผลกระทบจากกรดแลกติก ไม่ใช่ หยุดออกกำลังกายทันที ให้ค่อยๆ หยุด เช่น จากวิ่ง ก็เปลี่ยนเป็นเดินสักรอบ 2 รอบก่อน แล้วค่อยหยุดออกกำลังกาย อย่างนี้เป็นต้น
คงจะพอกระจ่างกันพอสมควรนะคะ ว่าอาการคันยิบๆ จากผิวหนังนั้น ไม่ได้เกิดจากการที่ไขมันแตกตัวแต่อย่างไรเลยค่ะ
แต่อาการคันยิบๆ ในบางราย อาจเกิดจากอาการแพ้เหงื่ออยู่แล้วเป็นทุน ทำให้เกิดผดผื่นคันร่วมด้วย ก็ต้องลองสังเกตตัวเองดูนิดนึงนะคะ ว่าสาเหตุที่แท้จริงแล้ว อาการคันยิบๆ ตอนออกกำลังกายนั้น เกิดขึ้นจากอะไรกันแน่

ขอบคุณที่มา : คุณ Entitas จาก www.pantip.com
www.baanjomyut.com